เรียนทุกท่าน
ในช่วง 10 วันที่ผ่านมาที่เราได้ข่าวเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น
นอกจากเรื่องของความพินาศจากภัยธรรมชาติ และการลุ้นระทึกเกี่ยวกับนิวเคลียร์
สิ่งหนึ่งที่เราได้รับรู้เกี่ยวกับญี่ปุ่นก็คือ พฤติกรรมของชาวญี่ปุ่น
แม้ว่าอากาศจะหนาวแค่ไหน แต่เวลาไปรับผ้าห่ม เขาก็จะเข้าแถวยาวเหยียดอยู่ท่ามกลางอากาศหนาว
แม้ว่าจะหิวแค่ไหน แต่เวลาไปซื้อหรือรับอาหาร เขาก็จะเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อรอรับอาหารอย่างอดทน
ประชาชนในประเทศให้ความร่วมมือ ในการลดการใช้ไฟฟ้า โดยไม่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ
ประชาชนพยายามไม่ออกไปไหน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้สะดวก
หากจะออกไปก็จะพยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางหลัก เพื่อให้เจ้าหน้าที่ใช้เส้นทางนั้นในการช่วยเหลือผู้อื่น
ผมไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าประเทศไทยเจอเรื่องแบบนี้ สถานการณ์จะเป็นอย่างไร
ตลอดเวลา 10 วันที่ผ่านมา ไม่มีข่าวการปล้นสะดม แย่งชิง
หรือแม้แต่ข่าวประชาชนแย่งกันซื้ออาหาร ประชาชนโวยวายที่ไม่มีอะไรจะกิน
มีแต่ข่าวผู้คนต่างช่วยเหลือและแบ่งปันซึ่งกันและกัน
และพยายามใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความลำบากด้วยความอดทน
ผมไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าประเทศไทยเจอเรื่องแบบนี้ สถานการณ์จะเป็นอย่างไร
พอโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เริ่มมีการรั่วไหลเกิดขึ้น
คนญี่ปุ่นที่อยู่ห่างไม่กี่กิโลเมตรก็ให้ความร่วมมือกับทางการทุกอย่าง
และพยายามฟังข่าวสารจากรัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญอย่างมีสติ
ในขณะที่คนในประเทศที่ห่างไกลมาหลายพันกิโลเมตร
กลับเกิดความวุ่นวายขึ้น เพราะเชื่อข่าวลือที่ส่งต่อๆกันไปทางอินเตอร์เนต
ความมีสติ และการคิดพิจารณาก่อนจะเชื่อตามหลักกาลามสูตรของสองประเทศนั้นแตกต่างกันมาก
และยังมีเรื่องราวอีกมากมาย ที่แสดงให้เห็นว่า คนในประเทศญี่ปุ่นโดยรวมเป็นคนอย่างไร
เรื่องนี้นอกจากจะเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมแล้ว
เรื่องนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า
แนวคิดที่ว่า หากเรามุ่งพัฒนาทางด้านวัตถุมากๆ เราจะไม่ได้พัฒนาทางจิตใจ
ส่งผลให้ผู้คนที่มีฐานะหรือมีเงินมากขึ้น จะมีระดับของจิตใจที่ต่ำลง
เป็นแนวคิดที่ผิด
เพราะประเทศญี่ปุ่น ถือได้ว่ามีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลก
รายได้เฉลี่ยก็สูงอันดับต้นๆของโลก
แต่ระดับจิตใจของเขา ไม่ได้ลดต่ำลง อย่างที่หลายๆคนคิด
เรื่องนี้เมื่อสะท้อนกลับมาที่ประเทศไทย
เราจะอ้างว่า อย่าพัฒนาวัตถุให้มาก เพราะจะทำให้จิตใจของเราต่ำลง ไม่ได้อีกแล้ว
เพราะญี่ปุ่นเขาทำให้ดูแล้วว่า สองสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน
เราสามารถพัฒนาทางด้านวัตถุ ไปพร้อมๆกับการพัฒนาจิตใจได้
ในทางตรงกันข้าม ในขณะที่เราหาข้ออ้างที่จะไม่พัฒนาทางด้านวัตถุให้มาก
ระดับจิตใจของคนในประเทศเราก็ไม่ได้ดีมากขึ้น หรือไม่แม้แต่จะเท่าเดิม
ระดับอาชญกรรม ระดับของการเสพแอลกอฮอล์และสิ่งเสพติด ระดับการผิดศีลธรรม
ของประเทศเราดูจะย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
นั่นแปลว่า ทางด้านวัตถุเราก็ไม่ได้พัฒนาให้มากอย่างที่ควร
ทางด้านจิตใจ เราก็ไม่สามารถรักษาให้ดีได้
เรื่องราวในประเทศญี่ปุ่น จึงทำให้เราต้องหันกลับมามองตัวเอง
บนพื้นฐานของความเป็นจริง เพื่อที่เราจะได้แก้ไขให้ถูกจุด
และเมื่อสะท้อนเรื่องระดับประเทศ มาที่เรื่องระดับบุคคล
เราจะเห็นว่า เวลาที่คนกลุ่มหนึ่งได้ยินว่าใครอยากรวย
คนกลุ่มนี้ก็จะมองว่าคนที่อยากรวยเป็นคนเลว
ทำไมไม่พัฒนาจิตใจให้ดี เป็นคนดีก็พอแล้ว อย่าไปคิดเรื่องเงินให้มากเกินไป
ในขณะที่คิดแบบนั้น คนจำนวนมากที่พยายามบอกตัวเองว่าไม่อยากรวย และรังเกียจคนที่อยากรวย
กลับไม่ได้มีระดับศีลธรรมที่ดีขึ้นสักเท่าไหร่
ยังคงฆ่าสัตว์ ยังคงโกหก ยังคงคดโกง ยังคงมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่สามี-ภรรยา ยังคงดื่มแอลกอฮอล์
ยังคงด่าคน ยังคงโพสท์ถากถาง ยังคงอิจฉาริษยา
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ความอยากรวยกับความคิดที่เป็นอกุศล ไม่จำเป็นต้องไปด้วยกัน
ส่วนในพระไตรปิฎกนั้น พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยห้ามเรารวย ไม่เคยห้ามเราอยากรวย
ขอเพียงเราอยู่ในกรอบทำบุญละบาป ถ้าเราอยากรวยก็ไม่ผิดอะไร
(อ่านเพิ่มเติมในหนังสือ ถ้ารู้...(กู)...ทำไปนานแล้ว กับ หนังสือ บุญใหญ่พลิกชีวิต)
นั่นคือ ถ้าเราอยากรวย พร้อมๆไปกับพยายามขยันขันแข็งทำงานด้วยความรับผิดชอบ
แล้วเราไม่ฆ่าสัตว์ ไม่โกหก ไม่คดโกง ไม่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่สามี-ภรรยา ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
ไม่ด่าคน ไม่โพสท์ถากถาง ไม่อิจฉาริษยา ไม่ทำบาปทั้งปวง
และทำบุญทุกอย่างเท่าที่สามารถทำได้
วันหนึ่ง เราก็สามารถเป็นคนรวย โดยไม่จำเป็นต้องมีระดับจิตใจที่ต่ำลง
นั่นคือ เป็นเราสามารถคนรวยที่มีศีลมีธรรมได้
บางคนอาจจะไม่อยากรวย และอยากมีศีลมีธรรมก็ไม่ใช่เรื่องผิด
แต่คนที่อยากรวย เวลาเห็นข่าวเกี่ยวกับญี่ปุ่น
ก็อย่าลืมเตือนใจตัวเองว่า
เราสามารถพัฒนาทางด้านวัตถุ(ด้านการงานการเงิน) ไปพร้อมๆกับพัฒนาจิตใจได้เช่นกัน
และอย่าลืมช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยการบริจาคนะครับ
ด้วยความนับถือ
ณัฐพบธรรม
www.Nutpobtum.com