เรียนทุกท่าน
วันนี้ผมได้อ่านนิทานธรรมะเรื่องหนึ่ง(เป็นนิทานไม่ได้มีจริงในพระไตรปิฎก)
อ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์จึงนำมาแบ่งปันทุกท่าน
แต่ต้องขออนุญาตไม่บอกที่มาของบทความเพื่อให้ทุกท่านได้อ่านโดยไม่มีอคติ
และต้องขออภัยเจ้าของบทความที่นำมาเผยแพร่โดยไม่ได้ให้เครดิต
(แต่เจ้าของบทความก็ได้บุญแน่นอน)
ด้วยความนับถือ
ณัฐพบธรรม
ผู้เขียนหนังสือ "ถ้ารู้...(กู)...ทำไปนานแล้ว"
กาลครั้งหนึ่ง มีมนุษย์อาศัยอยู่ในโลกแห่งหนึ่ง ซึ่งในโลกแห่งนี้มีแต่ความสวยสด
งดงาม คนทุกคนมีรูปร่างหน้าตาที่สวยหล่อกันทุกๆ คน มีแต่ความสะอาด ไม่มีความ
สกปรก มีแต่ความหอม ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่าใด ๆ เกิดขึ้นในกลุ่มคนที่อยู่ในสังคมเหล่านั้น
เลย อยู่มาวันหนึ่งมีพรหมองค์หนึ่งที่พึ่งจะออกจากนิโรธสมาบัติ (คือการที่พระอริยเจ้า
ตั้งแต่ระดับพระอนาคามีขึ้นไปเข้าสมาบัติ ๘ แล้วจิตดำดิ่งเข้าสู่สมาธิขั้นลึกที่สุด) แล้ว
ถอยกำลังฌานลงมา เกิดนิมิตในสมาธิจิต เห็นมนุษย์ในโลกแห่งนี้เต็มไปด้วยความมัว
เมา คือเห็นว่ากามารมณ์ (ความพึงพอใจในรูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม และสัมผัส
ที่นุ่มนวล) นั้นคือความสุขอันยอดเยี่ยม พรหมองค์นั้นก็คิดว่า หากบุคคลที่อยู่ในโลกใบ
นี้เคยมีวาสนาต่อเรา เราจะทำลายความคิดเหล่านี้ให้สิ้นไป พอ ท่านตั้งจิตปั๊บ ภาพมันก็
ปรากฎออกมาว่า ในสมัยหนึ่ง คนเหล่านี้เคยเกื้อกูลซึ่งกันและกันมา อาศัยในป่าอันไกล
โพ้น เป็นชาวป่า ชาวดง เคยช่วยเหลือกันในการก่อสร้างบ้านเรือน เคยช่วยเหลือแบ่งปัน
อาหารอุปถัมภ์ค้ำชูกันมา พรหมก็คิดว่าถ้าบุญวาสนาบารมีเคยมีในชาติกาลก่อนนี้ การ
ไปของเราคงเป็นผล
พรหม ท่านก็เลยแปลงร่างให้กลายเป็นคนน่าเกลียด ผิวพรรณตะปุ่มตะป่ำ กลิ่นตัว
เหม็น พูดออกมาก็เหม็น เดินไปตรงไหนก็เหม็น แล้วท่านก็เดินเข้าไปในหมู่คนที่มีความ
หมกมุ่นในกามารมณ์เหล่านี้ คนเหล่านั้นเห็นท่าน ก็ได้รู้สึกแปลกใจ ว่านี่คือตัวอะไร แล้ว
พวกเขาก็เรียกประชุมกันเพื่อถกปัญหาเรื่องนี้ แล้วผลสรุปก็ออกมาว่า ความฉิบหายมา
ปรากฎแก่พวกเราแล้ว คือหมายความว่ามีตัวกาลกิณีมาปรากฎในหมู่บ้านของเราแล้ว
ร่าง พรหมที่แปลงมานี้ได้ทำให้เขาไม่มีความสุข เพราะพวกเขาเคยชินแต่การมองดูสิ่งที่
สวยงาม เคยชินกับกลิ่นหอม ของหอม แต่พรหมที่แปลงมานั้นมีกลิ่นเหม็น ร่างกายน่า
เกลียด คนเหล่านี้ไม่เคยสัมผัสกลิ่นที่เหม็นมาก่อน และก็ไม่เคยเห็นสิ่งที่มีรูปร่างหน้าตาที่
น่าเกลียดแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของพวกเขา พวกเขาจึงคิดว่ามันเป็น
เสนียดจัญไร เป็นกาลกิณี และสิ่งที่เริ่มเกิดขึ้นต่อมาก็คือ ความเห็นแก่ตัวของคนเหล่า ๆ
นี้ โดยพวกเขาได้ทำการขับไล่ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่เคยแสดงกิริยาวาจาขับไล่ซึ่งกันและ
กันมาก่อน แม้ถ้อยคำวาจาที่พวกเขาเคยใช้ เคยพูด ต่อกันนั้นก็มีแต่ถ้อยคำที่ดี ที่ไพเราะ
แต่เขากลับพูดวาจาที่ไม่ดีกับพรหมที่แปลงมา ทั้งที่พวกเขาก็ไม่เคยกล่าวถ้อยคำวาจาที่
ไม่ดีแบบนี้ มาเลยในกาลก่อน ไม่มีใครเคยสอนให้พวกเขาพูดคำหยาบแบบนี้ด้วย พวก
เขาพากันขว้างปาสิ่งของที่อยู่ใกล้มือมาเขวี้ยงใส่ ขับไล่ไสส่ง จนพรหมที่แปลงมานั้นมี
เลือดสาดออกมา แต่พรหมก็ไม่ตาย แต่ค่อย ๆ กระดื๊บ ๆ พยุงร่างกายที่มีเลือดโซม ตา
บวม หัวปูด แขนหักงอ เพราะคนเป็นพันเป็นหมื่นมารุมเขวี้ยงของใส่เขา ซึ่งถ้าเป็นคน
จริง ๆ ก็ตายไปแล้ว แต่เชื่อไหมว่าการปราบใจของคนนั้นมันมีเหตุผลอยู่ คนเรา น่ะหาก
ไปประทุษร้ายต่อใครคนหนึ่ง แล้วเขาไม่ประทุษร้ายตอบ และคนที่ถูกประทุษร้ายนั้นเป็น
คนไม่มีทางสู้ และไม่เคยกล่าวถ้อยคำวาจาใดที่หยาบคายต่อกันสักครั้ง ไม่เคยมีสายตา
เคียดแค้นใด ๆ ออกมาสักนิดเมื่อถูกทำร้าย เป็นเธอ เธอจะเขวี้ยงเขาอีกครั้งไหม? ก็ไม่
ใช่มั้ย ก็ไม่มีใครหยิบสิ่งของขึ้นมาขว้างปาใส่อีกเป็นครั้งที่สองเลย
พรหมที่แปลงมาก็ค่อย ๆ พยุงร่างกายขึ้นมาแล้วกล่าวถ้อยคำอันมีกลิ่นเหม็น ๆ ออกมา
ว่า “ดูก่อน ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นผู้อยู่ในความเจริญดีแล้วรึ ท่านเห็นแก่กายแห่งเราอัน
เป็นที่น่ารังเกียจ ไม่ต้องกับความปรารถนาของท่านทั้งหลาย จึงคิดทำลายร่างกายนี้ใช่
มั้ยรึ? ”
คนทุกคนเงียบสนิทเพราะไม่เคยได้ฟังคำตักเตือน หรือมีคนมาคอยชี้แนะ จึงเงียบสนิท
พรหมที่แปลงมาจึงพูดต่ออีกว่า “ท่าน ผู้เจริญทั้งหลาย แม้เราจะมีกายน่ารังเกียจ แต่ใจ
ของเรานั้นเล่า ไม่เคยแสดงความหยาบออกมาให้ท่านทั้งหลายได้สัมผัสรู้แม้สักนิดเดียว
ตรงกันข้ามกับท่านทั้งหลายผู้กล่าวว่าเป็นผู้มีรูปอันงาม คำพูดสรรเสริญรูปนี้คือความสุข
ของท่าน ผู้มีกลิ่นอันหอม เป็นผู้สรรเสริญกลิ่นหอมว่าเป็นความสุขของท่าน เป็นผู้ได้ลิ้มรส
ของอร่อย เป็นผู้สรรเสริญความสุขของท่านด้วยรส เป็นผู้ยินดีในความสัมผัส ในความ
อ่อนโยนอ่อนนุ่ม ในความสัมผัสที่เกิดความสุข ท่านผู้เจริญ กายวาจาใจของท่านเป็นผู้
พรั่งพร้อมด้วยความบริสุทธิ์แล้วรึ จึงได้มีกายผุดผ่องงดงามถึงเพียงนี้ เหตุแห่งเราผู้มี
กายอันน่ารังเกียจ แม้นท่านจะประทุษร้ายเราเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานก็ไม่ปาน หากสักนิดแห่ง
วาจาแห่งเราก็ไม่เคยเพ่งโทษ ตำหนิติเตียนท่านสักนิดเดียวด้วยถ้อยคำอันหยาบ ไฉนเลย
ท่านผู้เจริญทั้งหลายผู้มีอริยธรรมอันสูง ผู้มีบุญปรากฎว่ามีรูปอันงดงาม เสวยสุขแห่ง
กามารมณ์อันยอดเยี่ยมในโลกแห่งนี้ หากมีสติสักนิดที่จะคิดถึงความเมตตาปราณี กับผู้
ที่มีความทุกข์ยากลำบากแห่งเรา ก็ไม่เคยปรากฎ สมแล้วหรือท่านผู้เจริญเหล่านี้จะยัง
อุบัติ เกิดขึ้นด้วยความพอใจในรูป เสียง กลิ่น และรสสัมผัสที่ท่านได้เสวยแห่งความสุข? ”
เป็นคำด่าที่เพราะ แต่ตอนพูด กลิ่นไม่มีแล้วนะ เงียบสนิท ทุกคนย่อตัวลงแล้วยกมือขึ้น
”ขอ ท่านผู้เจริญจงยกโทษให้แก่พวกเราเถิด อย่าให้ความวิบัติเกิดขึ้นแก่เราในเบื้องหน้า
เลยเถิด อย่าให้ทุคคติจงได้บังเกิดแก่เราในเบื้องหน้าอีกเลย ขอท่านผู้เจริญจงเปล่งวาจา
ให้อภัยต่อเราเถิด จงอย่าทำความฉิบหายให้บังเกิดแก่พวกเราทั้งหลายเถิด ” พวกเขาก็
ยกมือไหว้ พรหมที่แปลงมาก็ได้กล่าวว่า “แม้น ความคิดแห่งจิตที่อาศัยร่างที่เน่าเปื่อยน่า
รังเกียจนี้ที่จะมองพวกท่านด้วย ความเกลียดและโกรธก็หาไม่ ใยเล่าจะให้เราต้องให้อภัย
ต่อท่านทั้งหลายผู้ที่ไม่ได้ประทุษร้ายต่อเรา? ” และคนที่เป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ก็ได้
กล่าวว่า “เราทั้งหลายสิได้กระทำต่อท่านจริง ได้ประทุษร้ายจนกายของท่านเลือดอาบ
โซมขนาดนี้ จะกล่าวว่าเราไม่ได้ประทุษร้ายต่อท่านได้อย่างไร”พรหมก็กล่าวว่า “ดูก่อน
ท่านทั้งหลาย ท่านลองมองดูดี ๆ ตัวท่านเองนั่นแหละเป็นผู้ประทุษร้ายตัวของท่าน เราหา
ได้เป็นผู้ถูกประทุษร้ายไม่ ” (เพราะ คนเหล่านี้เป็นผู้ทำให้ตนเองเดือดร้อนจากความไม่
พอใจ จากความขาดความเมตตา ทำให้จิตใจของตนเองมีความรุ่มร้อนจึงกล่าวได้ว่าคน
เหล่านี้ทำร้ายตัวเอง) คนเหล่านั้นก็เงียบ แล้วหันมามองตัวเอง แล้วยกมือขึ้นพนมกล่าว
ว่า“คำพูดของท่านช่างเป็นวาจาอันไพเราะยิ่ง ขอให้ท่านได้มานั่งที่นี่เถิด ” แล้วพวกเขา
ก็ได้จัดอาสนะให้ และนำน้ำหอมที่หอมที่สุดมาชโลมอาสนะ เอาผ้าเนื้อดีมาวาง จัดอาหาร
ที่มีรสเลิศมาให้ เตรียมเสื้อผ้าที่ดี ๆ มาให้
พรหมที่แปลงมาก็ได้กล่าวว่า “สิ่งเหล่านี้มิใช่ความสุขของใจเรา แต่เราเห็นควรแก่ใจของ
ท่านที่ได้สำนึกแล้วว่าได้กระทำผิด ” แล้ว จึงขึ้นไปนั่งบนอาสนะ พอท่านนั่งปั๊บ กายที่เน่า
เปื่อยของพรหมก็ได้เปลี่ยนเป็นกายที่สวยงาม มีแสงเรืองรองออกมาจากร่างกายอย่าง
สว่างไสว คนเหล่านั้นก็พลัน สะดุ้ง ขึ้นในจิตว่าเรานี้ได้ทำผิดไปมาก ที่มัวเมาในรูป เสียง
กลิ่น รส สัมผัส จนไม่ได้คำนึงถึงความเมตตาและปราณี มีแต่หลงว่ารูป เสียง กลิ่น รส
สัมผัสเหล่านี้ คือความสุขแล้ว ติดอยู่ในความสุขอย่างนี้ ต่างคนก็ต่างคิด พรหมองค์นั้น
จึงกล่าวถ้อยคำเป็นคาถาว่า “ขึ้นชื่อว่าความสุขอันยอดเยี่ยมคือความระงับแล้วซึ่งกิเลส
และตัณหา ขอให้ท่านทั้งหลายจงกลับมาพิจารณา ความสุขอันยอดเยี่ยมที่ท่านมีอยู่ตอน
นี้ว่าหาควรแก่พวกท่านไม่ ท่านจงเป็นผู้ตั้งใจทำเนกขัมมะให้เกิดเถิด ” แล้วพวกเขาก็
ถามว่าเนกขัมมะคืออะไร พรหมก็ตอบว่า “เนกขัมมะก็คือการตั้งจิตให้เต็มไปด้วยความ
เมตตาและสงสารคน เป็นผู้ยินดีในความดีของผู้อื่นเสมอ เป็นผู้ไม่ข้องแวะในสิ่งที่เป็นกฎ
ของความเป็นจริง เป็นอยู่อย่างนั้น เนกขัมมะคือผู้ไม่เห็นความรู้สึกหรือพึงพอใจในรูป ไม่
ฟุ้งซ่าน ไม่กระสับกระส่าย ไม่แสวงหา ไม่หลงว่านี่คือความสุข เนกขัมมะเป็นผู้ตั้งอยู่ใน
ความไม่คิดหรือคำนึงถึงรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ว่าจะยังให้เรามีความสุข จนเกิดความ
กระสับกระส่าย ฟุ้งซ่าน ท่านทั้งหลายผู้มีบุญมามากดีแล้ว จงพึงปฏิบัติตามนี้เถิด ” แล้ว
คนเหล่านั้นก็พากันละความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส สิ่งที่เคยวุ่นวาย เขาก็ละ
ความวุ่นวาย เขากลับมามีจิตใจที่เต็มไปด้วยความเมตตาปราณี และทำอยู่อย่างนี้จนละ
อัตภาพไป ตายแล้วก็กลายเป็นพรหมอยู่บนพรหมโลก
ธรรมะ,สังฆทาน,สังฆทานที่ถูกต้อง,กฎแห่งกรรม,กฏแห่งกรรม,บุญ,บาป,บุญบาป,นรก,สวรรค์,ทำทาน,รักษาศีล,เจริญภาวนา,นั่งสมาธิ,เจริญสติ,ธรรมทาน,ณัฐพบธรรม
ขอบคุณพี่ณัฐและเจ้าของบทความที่แบ่งปันสิ่งที่ดีแก่เพื่อนมนุษย์ครับ
ได้เห็นธรรมแล้วครับ..ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ...หากใครได้อ่านและนำไปปฏิบัติก็จะเกิดอย่างใหญ่หลวงต่อตนเองและคนรอบข้าง...สาธุ...
สาธุ ขอบคุณมากคะ